อัครพล ทูกมูแฮ

หมอยาเเห่งอาข่าคือใคร กับการเปลี่ยนเเปลงทางสังคมจะเป็นอย่างไร

” นั่นๆ ลุงเขาอยู่ตรงนั้น!!! ” เสียงพี่สุพัตราตะโกน

          ลุงซอเจ จือปา อายุ 66 ปี หนึ่งในหมอยาประจำหมู่บ้านแม่จันใต้หรือทางภาษาอาข่าเรียกว่า “ยาห่า ลาซา ฉ่อห่า” ลุงซอเจได้เล่าถึงการเป็นหมอยาของเขาว่า เนื่องจากเขามีความสนใจในด้านศาสตร์ ตำรา ยา อยู่แล้วและสายตระกูลของเขาตั้งเเต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนมาถึงรุ่นของเขา จึงได้ศึกษาและได้รักษาคน เขาได้เริ่มรักษาคนตอนอายุ 50 ปี ลุงรักษาคนในหมู่บ้านมาเเล้วหลายคน เเต่เคสเเรกที่เขาได้รักษาคือรักษาคนโดนมีดบาดที่ข้อเเขน และการรักษาพี่ผ่านมานั้นที่ได้รักษาคนมา ขึ้นชื่อว่าไม่มีใครไม่หายด้วยฝีมือลุง  ส่วนค่ารักษานั้นตามทำเนียมนั้นต้องใช้เหล้าต้ม1ข้อ และเงินตามลุงจะบอกเพื่อเป็นค่าครูในการรักษาคน

การเปลี่ยนแปลงทางความคิด และธรรมชาติ

“ลุงคับตอนนี้คนเขาต้องการการรักษาที่รวดเร็วเช่น ไปโรงพยาบาล ลุงกังวลไหมครับ ? “

ในปัจจุบันนี้ลุงเขาไม่ได้กังวลกับการที่ไม่มีใครมารักษากับตน ใครจะไปโรงพยาบาลก็ได้ เเต่ลุงได้บอกว่า

“ของดีไม่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร  ถ้าของเราดีจริงเขาจะมาหาเอง” เเต่การรักษาของลุงนั้นตั้งเเต่ลุงรักษาชาวบ้านมาไม่มีใครไม่หายจากฝีมือลุงเลย
“เเล้วสมุนไพรบางอย่างมีที่เริ่มหายากเเล้วมีไหมครับ? “

          ลุงตอบ นี่เเหละสิ่งที่ลุงเขากังวล  ธรรมชาติที่ไม่เหมือนเดิม  ผืนป่าที่ไม่เหมือนเเต่ก่อน สมุนไพรบางอย่างยังมีอยู่ บางอย่างเริ่มน้อยลง บางอย่างแทบจะหายยากไปแล้ว และนี่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ๆของหมอยา เนื่องจากยาที่ต้องปรุงนั้นต้องประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด ถึงจะรักษาคนได้ เหมือนกับการขับรถถ้ามีรถไม่มีล้อรถก็ไม่สามารถขับไปได้  ตำรายาของหมอยาก็เช่นกันจะขาดอะไรไปไม่ได้

“อยากให้มีคนสืบต่อไหมครับ?”

“ลุงตอบ การที่จะมาเป็นหมอยานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆจะต้องมีการใส่ใจและตั้งใจมีบทสวดที่ต้องจำให้ขึ้นใจและจะต้องไม่ให้ผิดเพี้ยน”

          ณ. ตอนนี้ลุงเขาบอกว่ายังไม่มีใครหรือเยาวชน คนไหนเขามาสอบถามเอาความรู้ เเต่ใครที่สนใจนั้นลุงเขาก็พร้อมเปิดอกตั้งใจสอนให้มีความรู้ แต่คนที่จะมาศึกษานั้นต้องมีความตั้งใจและอดทนให้เหมือนกันลุง เพราะการเป็นหมอยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าลุงจะมารักษาคนอื่นได้นั้น ลุงได้เรียนจนอายุ 50 ถึงจะได้รักษาคน

“ถึงจะนานมากการศึกษา  รู้มาเยอะมากคนแสวงหา”

เสียงไขขานในมุมมองของเยาวชนและชาวบ้าน

“ไม่มีใครอยากให้หายหรอก  แต่มันเป็นอะไรที่ยากจะทำ”

บทสนทนากับเยาวชน

          ณ. ปัจจุบันนี้ภายในหมู่บ้านมีเยาวชนหลายคนที่สนใจในหมอยาเเต่การเป็นหมอยานั้น มันมีวิธีและขั้นตอนที่ซับซ้อน อีกทั้งบทสวดที่ต้องจดจำและอีกทั้งเยาวชนคนรุ่นใหม่ๆนั้นได้ไปศึกษาในเมืองมากขึ้น ทำให้เกิดเก้อเขินในวัฒนธรรมตนเอง ความทันสมัยใหม่นี้ที่ทำให้วิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ เเต่ทำให้ความเชื่อดังเดิมกลับกลายเป็นสิ่งล้าหลังพร้อมกลายเป็นเรื่องงมงาย จึงทำให้เยาวชนยุคใหม่เริ่มห่างไปจากสิ่งนี้ทุกที

“หยอยา ก๊ะ ก่อดี ปอๆ กับ หมอโฮงยา(โรงพยาบาล)”

          บทสนทนากับชาวบ้าน ในความคิดของชาวบ้านการมีหมอนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะการที่พวกเขาจะไปโรงพยาบาลนั้นต้องเดินทางไกลและถ้าไม่สาหัสจริงๆ เช่นการผ่าตัดก็จะไม่ไปโรงบาล ส่วนเเขนหักขาหักนั้นก็มีสมุนไพรในการต่อเอง ชาวบ้านจึงเห็นความสำคัญกับหมอยามาก ถ้าวันใดวันหนึ่งหมดสิ้นหมอยาไปแล้วคงจะเสียใจเเล้วต้องทำใจไปเท่านั้น

          ในโลกแห่งโลกาภิวัตน์นี้ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและใจคนทำให้วิถีดั่งเดิมเริ่มสูญหายแต่ก็มีคนที่ฝักใฝ่ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมการเป็นหมอยาไว้อยู่ เเต่ก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจและกำลังใจ   จึงทำให้วิถีวัฒนธรรมสูญหายไปก็เป็นได้

     “ช่วยกันคิดลงมือให้อยู่ ใช่จะสู้รู้แล้วคิด ให้เป็นตำนาน”

บทความนี้ได้รับการสนับสนุนโดย: IWGIA และ Operation Dagsvaerk