“หนังสือคือประตูสู่โลกกว้าง”…
คำกล่าวที่สะท้อนความสำคัญของ“การอ่าน” อันเป็นพื้นฐานหนึ่งของการแสวงหาความรู้แต่การอ่านหนังสือรูปเล่มกระดาษแบบดั้งเดิม หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้อ่านบนคอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ทโฟน (E-Book) จะไร้ประโยชน์ทันที หากไปอยู่ในมือผู้ที่…
อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้!!!
ที่ผ่านมา ระบบการศึกษาไทยถูก “สับเละ”หลังพบว่าคุณภาพเด็กไทย “ตกต่ำ” ลงทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะ “วิชายาก” ที่หลายคนอาจเห็นเป็น “ยาขม” อย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยัง “ลาม” ไปถึงวิชา “ภาษาไทย”
จากการสุ่มสำรวจโรงเรียนในไทย 2,020 แห่ง โดยกระทรวงศึกษาธิการ ในเดือนมิถุนายน 2558 พบว่า เด็กไทยชั้น ป.3 ของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 5 อ่านไม่ออก และร้อยละ 7.6 เขียนไม่ได้ และชั้น ป.6 ของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 2.6 อ่านไม่คล่อง ร้อยละ 7 เขียนไม่คล่อง
หรือหากย้อนไป 2 ปี ในเดือนกันยายน 2556 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำรวจเด็กไทยชั้น ป.3 และ ป.6ทั่วประเทศ พบว่า มีนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6“อ่านไม่ได้” รวม 45,929 คน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ที่อ่านได้บ้าง แต่ยังต้อง “ปรับปรุง” รวม 365,420 คน เมื่อรวมทั้งหมดมีเด็กไทยที่มีปัญหาอ่านเขียนสูงถึงกว่า 4 แสนคน
ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายาม “แก้วิกฤติ”จากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะใน “เด็กชาติพันธุ์”ที่อาศัยบนยอดดอย ชาวเขาเผ่าต่างๆ ถือเป็น “กลุ่มเสี่ยง” ที่เมื่อทดสอบทีไรมักพบเด็กที่อ่าน-เขียนภาษาไทยไม่ได้ค่อนข้างมาก
“หน่อ แอริ ทุ่งเมืองทอง” ประธานเครือข่ายการศึกษาชนเผ่าพื้นเมือง ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ในเวทีเสวนา “การศึกษาชนเผ่าพื้นเมือง :หลากหลาย พริก เพื่อพลิกการเรียนรู้” ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่า อาจเป็นเพราะการสอนที่“ไม่เข้าใจ” ระหว่างครูภาษาไทยกับบริบทของท้องถิ่น
“หน่อ แอริ” อธิบายว่า เด็กจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิด นั่นหมายถึง “เรียนรู้จากพ่อแม่” ดังคำโบราณที่ว่า “เรียนรู้ภาษาแม่ เรียนรู้การทำกิน เรียนรู้วัฒนธรรม และเรียนรู้รากเหง้าของตนเอง” แต่เมื่อต้องการความรู้ขั้นสูงเพิ่มขึ้น “ภาษากลาง” หรือภาษามาตรฐานที่คนจำนวนมากใช้สื่อสารกัน เช่น ภาษาไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็น เป็นที่มาของการดึง “ครูชนเผ่า” เข้ามาช่วยครูภาษาไทยในการสื่อสารกับเด็กนักเรียน
“ในชั้นอนุบาล ครูจะบังคับให้เด็กพูดภาษาไทย เพราะครูพูดภาษาถิ่นไม่ได้ จึงมีปัญหาเรื่องการสื่อสารและการเรียนการสอน จึงมีการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีครูชนเผ่าเข้ามาช่วยสอน เพื่อพัฒนาการสื่อสารกับเด็ก”
“หน่อ แอริ” กล่าวอีกว่า การศึกษาแบบนี้เด็กจะได้เรียนรู้ถึง “รากเหง้า วัฒนธรรม วิถีชีวิต”ของตนเอง ด้วยองค์ความรู้ที่มีอยู่มาตั้งแต่กำเนิดควบคู่ไปกับการศึกษาที่อยู่ในระบบ เสมือนกับการบูรณาการการศึกษาในโรงเรียนและวิถีพื้นเมืองเข้าไว้ด้วยกัน
ขณะที่ “ผศ.วรรณา เทียนมี” ผู้อำนวยการมูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ อธิบายว่า การเรียนแบบ “ทวิภาษา” ร่วมกันระหว่างภาษาไทยกลางกับภาษาท้องถิ่น ถูกใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาการเรียนภาษาของ “นักเรียนชาติพันธุ์” ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็น “ภาษาแม่” เพื่อเตรียมความพร้อมทางภาษาให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ในกระแสหลักได้เร็วขึ้น
“ผศ.วรรณา” อธิบายว่า การสอนสำหรับ“เด็กชนเผ่า” ต้องเรียน “อ่าน-เขียน” ภาษาถิ่นก่อนโดยเฉพาะระดับชั้นอนุบาล 1 จะต้องใช้ภาษาถิ่นอย่างเดียว เพื่อพัฒนาสติปัญญา ร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่วนสื่อการเรียนการสอนที่ใช้จะต้องเป็นเรื่องหรือวิถีชีวิตที่เด็กคุ้นชิน เพื่อที่เด็กจะได้ “กล้าพูด-กล้าแสดงออก” เพราะเป็นภาษาที่เด็กคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ส่วนภาษาไทยควรเริ่มใช้ในเทอม 2เป็นต้นไป โดยเริ่มจาก “ฟัง…ให้รู้จักคำศัพท์ก่อน”
เมื่อขึ้นชั้นอนุบาล 2 เด็กจะรู้จักคำศัพท์ประมาณ 1,000 คำ เมื่อขึ้นชั้น ป.1 จะนำภาษาไทยเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น สอนแจกแจง “ผสมคำ” แต่ยังใช้ครูท้องถิ่นในการสอน เมื่อเด็กเรียนคำศัพท์วิชาการที่มีความหมายในภาษาถิ่นแล้ว เมื่อเรียนภาษาไทยเด็กจะเชื่อมโยงความหมายระหว่างภาษาถิ่นกับภาษาไทยได้เอง และจะทำให้เขาเข้าใจง่ายขึ้น จากนั้นชั้น ป.2 จะใช้ภาษาถิ่นน้อยลง ใช้ภาษาไทยมากขึ้นและยากขึ้น ตามลำดับ วิธีนี้ “แก้ไข” ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็กชนเผ่าพื้นเมืองอย่างได้ผล
“การจัดการเรียนแบบทวิภาษาในช่วงแรก จะเริ่มเรียนด้วยภาษาแม่ของตัวเองก่อน โดยใช้ครูที่ใช้ภาษาถิ่นในการสอนด้วย และจะค่อยๆ นำ
ภาษาไทยเข้ามาใช้ โดยเริ่มจากการฟัง พูด อ่านและเขียน เมื่อเด็กเข้าใจในภาษาไทยแล้ว เราจะเริ่มสอนด้วยภาษาไทยเหมือนเด็กทั่วไป เพราะการที่เด็กชาติพันธุ์คุ้นเคยกับภาษาจะส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาความสามารถด้านการคิด วิเคราะห์ได้ดี” ผอ.มูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ ระบุ
ทว่า…สิ่งที่เป็น “อุปสรรค” ต่อการขยายโครงการให้ครอบคลุม คือ “จำนวน” ครูชนเผ่าไม่เพียงพอ ขณะที่ข้าราชการครูที่มาจากส่วนกลางขาดความเข้าใจสังคมกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเรื่องนี้ “สินอาจ ลำพูนพงศ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า หากไปดูที่ “คณะศึกษาศาสตร์” ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ จะพบว่านักศึกษาไม่น้อยเลยที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์ ฉะนั้นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ได้รับการบรรจุ “กลับไปพัฒนาบ้านเกิด” ในฐานะครู พื้นที่นั้นก็จะได้ประโยชน์
“ครูจะเชื่อมโยงการเรียนการสอนในการให้เด็กอ่านออกเขียนได้ และปัญหาการโยกย้ายจะหมดไป ขณะเดียวกันในเรื่องของการพัฒนาชุมชนนั้น เด็กเหล่านี้คือกำลังสำคัญ” สินอาจ ให้ความเห็น
ด้าน “ไพรัช ใหม่ชมภู” รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ กล่าวว่าจ.เชียงใหม่ ผลักดันการปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่อย่างจริงจังมาแล้วกว่า 2 ปี และมีแผน “โรดแมป”ระยะ 4 ปี ระหว่างปี 2559-2562 ดูแลด้านการศึกษาตลอดชีวิตทั้งในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ตั้งแต่ปฏิสนธิจนเสียชีวิต ซึ่งการศึกษาของชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ในแผนนี้เช่นกัน
“เมื่อมีแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษานี้แล้ว ก็ได้จัดให้มีครูท้องถิ่นเข้ามาสอนในโรงเรียน เช่น โรงเรียนที่มีชนเผ่าปกาเกอะญอ จะจัดให้มีครูปกาเกอะญอเข้าไปสอน โดยเชื่อมโยงประเพณีของแต่ละชนเผ่าเข้ามาในหลักสูตรการเรียนการสอน จากเดิมที่การเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลจะขาดความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับวิถีชีวิต” รองนายก อบจ.เชียงใหม่ กล่าว
ตัวอย่างเสียงสะท้อนจากผู้เรียน…“เพชรรัตน์ รักไพรสายเพชร” นักเรียนชั้น ป.4โรงเรียนบ้านปุย อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ บอกเล่าความรู้สึกเมื่อได้เรียนในหลักสูตรทวิภาษา “ไทย-พื้นเมือง” ว่า ในฐานะที่เป็น “ชาวกะเหรี่ยงโปว์” พวกเราสื่อสารภาษาถิ่นในครอบครัว แต่เมื่ออยู่ในโรงเรียนจะสื่อสารเป็นภาษาไทย และมีครูที่เข้าใจวัฒนธรรมของโปว์ด้วย การศึกษาที่ใช้ภาษาแม่ทำให้มีความสุข และตั้งใจที่จะมาเรียน
“ภาษาถิ่นพลิกชีวิตให้เป็นคนที่มีคุณธรรม มีสิทธิเท่าเทียมกับกลุ่มต่างๆ หวังว่ารัฐจะให้ความกรุณาได้เรียนรู้ในลักษณะทวิภาษาแบบนี้ต่อไป
เพราะช่วยเพิ่มโอกาสได้เรียนต่อในระดับสูง เพื่อกลับมาพัฒนาชุมชน นำไปสู่ความมั่นคงของประเทศชาติ และกลุ่มของตน” นักเรียนจากกลุ่มชาติพันธุ์ ฝากทิ้งท้าย
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา…
ถูกพูดถึง “ซ้ำซาก” โดยเฉพาะใน “กลุ่มชาติพันธุ์” ซึ่งการเรียนผสมผสานระหว่าง “วิถี-หลักสูตร” ที่ จ.เชียงใหม่ นำมาใช้ เป็นอีกทางเลือกที่พิสูจน์แล้วว่า “เหมาะสม” หน่วยงานรัฐจึงน่าจะ “เปิดกว้าง” ให้แต่ละพื้นที่ได้ “ทดลอง”จัดการเรียนการสอนภายใต้หลักการนี้ เพื่อปัญหาการศึกษาไทยจะ “คลี่คลาย” ลงไปบ้าง!?!?!
เครดิต >>> http://www.naewna.com/local/252684