โลกเริ่มฟังเสียงชนเผ่าพื้นเมือง

ในการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD COP15) เมื่อปลายปี 2022 โลกได้บรรลุข้อตกลงสำคัญผ่านกรอบ Kunming–Montreal Global Biodiversity Framework (KM-GBF)

ข้อตกลงนี้เป็น “แผนแม่บทโลก” เพื่อหยุดการทำลายธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศ โดยมี 23 เป้าหมายหลัก หนึ่งในนั้นคือเป้าหมายที่ 22 ซึ่งยอมรับอย่างเป็นทางการว่า

“การอนุรักษ์ธรรมชาติจะต้องฟังเสียงและเคารพภูมิปัญญาของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น”

โดยในเป้าหมายนี้มี “ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม” (Traditional Knowledge Indicator) ถูกบรรจุไว้อย่างชัดเจน เพื่อใช้วัดว่าแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับองค์ความรู้ของชุมชนท้องถิ่นมากเพียงใด ทั้งในกระบวนการออกนโยบายและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

ตัวชี้วัดนี้ถูกมองว่าเป็น “ก้าวสำคัญทางนโยบาย” เพราะสะท้อนว่าโลกเริ่มหันกลับมาให้คุณค่ากับความรู้และระบบการจัดการทรัพยากรของชนเผ่าพื้นเมือง ที่ถูกมองข้ามมานานหลายทศวรรษ

แต่คำถามคือ—ตัวชี้วัดนี้จะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการจัดการทรัพยากรที่กดทับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองได้จริงหรือไม่? หรือสุดท้ายจะกลายเป็นเพียง “ตัวเลขทางเทคนิค” ที่รัฐนำไปใส่ในรายงาน แต่ไม่เปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่เลย

ตัวชี้วัด 22.1: สิทธิในดินแดนคือหัวใจของภูมิปัญญา

กล่าวได้ว่า ตัวชี้วัด 22.1” หรือ “ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม” มีเป้าหมายหลักคือ การวัดสัดส่วนของพื้นที่ดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น ที่มีสถานะการถือครองที่ดินอย่างมั่นคง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการคุ้มครองสิทธิด้านวัฒนธรรม ความรู้ดั้งเดิม และอัตลักษณ์ของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก

ในเชิงโครงสร้างตัวชี้วัดนี้ที่ไม่เพียงแค่วัดข้อมูลเชิงพื้นที่ว่ามีพื้นที่เท่าไร แต่ยังเน้นการวัด “ความรู้สึกมั่นคงในการถือครอง” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกปลอดภัยจากการถูกข่มขู่, การไล่รื้อ, และการละเมิดสิทธิ ซึ่งเป็นประเด็นที่ชนเผ่าพื้นเมืองเผชิญอยู่ทั่วโลก

การผลักดันตัวชี้วัดนี้มาจากความพยายามของขบวนการชนพื้นเผ่าเมืองโลก ที่ยืนยันว่าหากจะพูดถึงการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ต้องพูดถึง “สิทธิในดินแดนดั้งเดิม” ด้วย ไม่เช่นนั้นก็เป็นการอนุรักษ์ที่ละเลยชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในดินแดนนั้นมาก่อน

ในหลายประเทศ เช่น โบลิเวีย, เอกวาดอร์, นิวซีแลนด์, และแคนาดา ได้เริ่มบรรจุตัวชี้วัดนี้ไว้ในแผนระดับชาติ และมีนโยบายรับรองสิทธิที่ดินของชนเผ่าพื้นเมืองในทางปฏิบัติจริง  เพราะพวกเขาตระหนักว่าการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ สิทธิในดินแดนของผู้ดูแลพื้นที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” หรือ “ดินแดนดั้งเดิม” ยังเป็นประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และยังคงไม่ได้รับการยอมรับ เฉกเช่นการที่ในพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 มีการตัดคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง และสาระสำคัญของพื้นที่คุ้มครองออกไป ทำให้แม้ว่ากฎหมายจะประกาศออกมาแล้ว พื้นที่คุ้มครองก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอนุรักษ์ต่อไป

สถานการณ์ในประเทศไทย: ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม ยังคงไม่ได้รับการยอมรับ

แม้ประเทศไทยจะให้การรับรองกรอบ KM-GBF ทั้ง 23 เป้าหมายอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติ ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิมยังไม่ถูกบรรจุไว้ในนโยบายหลักของรัฐ

ใน “แผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (NBSAP)” ของไทย มีการพูดถึงการยอมรับภูมิปัญญาท้องถิ่นบ้าง เช่น

เป้าหมายที่ 2 ระบุให้เคารพสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ดูแลพื้นที่ธรรมชาติ

เป้าหมายที่ 10 เน้นบทบาทของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการความรู้และทรัพยากร

แต่ประเด็นเรื่อง “สิทธิในที่ดินของชนเผ่าพื้นเมือง” ซึ่งเป็นแก่นของตัวชี้วัด 22.1 กลับไม่ถูกกล่าวถึงเลย

แม้ “สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (สชพ.)” จะถูกระบุให้เป็นองค์กรร่วมดำเนินงานใน NBSAP แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า บทบาทนี้เป็นเพียง “การใส่ชื่อในเอกสาร” มากกว่าจะเป็นการยอมรับชนเผ่าพื้นเมืองในฐานะหุ้นส่วนของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานหลักรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง จึงขาดกลไกและงบประมาณรองรับ เช่น ระบบการเก็บข้อมูลโดยชุมชน หรือฐานข้อมูลสิทธิในที่ดินที่สอดคล้องกับตัวชี้วัด KM-GBF

ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิมเครื่องมือขับเคลื่อนของชุมชน

แม้จะมีข้อจำกัดแต่ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิมยังเป็น “บานประตูที่เปิดอยู่” สำหรับขบวนการชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนด้วยตนเอง เช่น

  • การจัดทำแผนที่และข้อมูลพื้นที่ดั้งเดิม ตามกรอบตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม
  • การเสนอตัวชี้วัดทางวัฒนธรรมของชุมชนเอง ที่ไม่จำกัดแค่เกณฑ์ของรัฐ
  • ผลักดันให้รัฐรับรองสิทธิในข้อมูลและพื้นที่ ตามมาตรฐานสากล
  • จัดทำรายงานคู่ขนาน (Shadow Report) ต่อแผน NBSAP เพื่อสะท้อนมุมมองจากชุมชนจริง

นอกจากนี้ผู้เขียนมีข้อเสนอว่า หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับแผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (NBSAP) ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดของ KMGBF อย่างแท้จริง โดยเฉพาะตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม ในการยอมรับสิทธิในที่ดินของชนเผ่าพื้นเมือง และไม่ให้กฎหมายป่าไม้มาจำกัดสิทธิเหล่านี้

รวมทั้งควรมีการจัดให้มีกลไกและงบประมาณรองรับการเก็บข้อมูลโดยชุมชน ที่รับรองสิทธิในข้อมูลของชุมชนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง

เพราะสุดท้ายแล้ว “ตัวชี้วัดภูมิปัญญาดั้งเดิม” ไม่ใช่เพียงคำศัพท์เชิงเทคนิคในรายงานระหว่างประเทศ แต่เป็น “เครื่องชี้วัดความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม” ที่จะบอกได้ว่า ประเทศใดให้คุณค่ากับผู้ดูแลผืนป่ามากแค่ไหน — และประเทศนั้นพร้อมจะฟังเสียงของผู้คนที่อยู่กับธรรมชาติจริง ๆ หรือไม่

เขียน: นิตยา เอียการนา / เรียบเรียง: ณฐาภพ สังเกตุ