ความสำคัญของกฎหมายกับชนเผ่าพื้นเมือง
ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ประเทศไทยได้จารึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ด้วยคะแนนเสียง 421 จาก 425 เสียง นับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) ที่ต่อสู้มายาวนานกว่า 13 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 จำนวน 12,888 คน ร่วมลงชื่อเสนอให้รัฐสภาได้นำไปพิจารณา ด้วยเจตนารมณ์สำคัญในการยอมรับตัวตนของชนเผ่าพื้นเมือง และเป็นกฎหมายที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ คุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการตนเอง และลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากนโยบายรัฐในอดีต ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปลี่ยนจากมุมมองรัฐที่มักตีตราชนเผ่าพื้นเมืองเป็นผู้บุกรุก มาเป็นการให้เกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะพลเมืองของประเทศอย่างเท่าเทียม
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ร่างกฎหมายแสดงออกถึงความก้าวหน้าในการคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์อย่างครอบคลุม แต่ยังมีคำถามสำคัญที่จำเป็นต้องตั้งขึ้นอย่างชัดเจนว่า “แล้วสตรีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ตรงไหนในกฎหมายฉบับนี้?”

7 สิทธิสำคัญ: คุ้มครองและส่งเสริม
ร่าง พรบ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ฉบับนี้ มีโครงสร้างที่ชัดเจนและก้าวหน้าหลายด้าน เช่น การรับรองสิทธิในวัฒนธรรม วิถีชีวิต การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ การจัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์ ฐานข้อมูลกลาง และพื้นที่คุ้มครองพิเศษ เจตนารมณ์ของกฎหมาย ตั้งอยู่บน 3 แกนหลัก ได้แก่
- คุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม
- ส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์ (Empowerment)
- สร้างความเสมอภาคบนความหลากหลาย
กฎหมายที่ถูกเสนอขึ้นนั้นมุ่งเน้นเพื่อรับรองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นรูปธรรม และส่งเสริมให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้ ดังนี้
- รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยห้ามการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งชาติพันธุ์ ศาสนา หรือวัฒนธรรม พร้อมเปิดทางให้รัฐใช้มาตรการส่งเสริมเพื่อความเท่าเทียมโดยไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ กฎหมายนี้จึงเน้นความเสมอภาคบนพื้นฐานของความหลากหลาย (มาตรา 5)
- คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์จากการถูกดูหมิ่น เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งจากบุคคลทั่วไป หน่วยงานรัฐ และองค์กรใด ๆ โดยห้ามมิให้มีนโยบายหรือการกระทำใดที่ละเมิดศักดิ์ศรีหรือสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มชาติพันธุ์รวมถึงนโยบายหรือกฎของรัฐใด ๆ ที่มีผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกลดคุณค่า หรือถูกเลือกปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่กฎหมายฉบับนี้ไม่อนุญาต (มาตรา 6)
- ปกป้องอัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ภาษา ศาสนา ความเชื่อ และวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน กฎหมายฉบับนี้ระบุชัดว่า ไม่มีใครควรถูกบังคับให้กลืนกลายเป็นวัฒนธรรมหลัก หรือถูกทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง นี่คือก้าวสำคัญในการรักษาความหลากหลายของประเทศไทย และช่วยให้ทุกคนมีที่ยืนโดยไม่ต้องละทิ้งความเป็นตัวเอง (มาตรา 7)
- การศึกษาโดยการใช้ภาษาของตนเองในการเรียนรู้คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ร่าง พ.ร.บ. นี้เปิดทางให้สามารถจัดการศึกษาใน “ภาษาแม่” ควบคู่ไปกับหลักสูตรของรัฐ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยสืบสานวัฒนธรรมของชุมชนอย่างยั่งยืน (มาตรา 8)
- สิทธิในที่ดินและทรัพยากร ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากอาศัยอยู่กับธรรมชาติ ที่ดิน ป่าไม้ และแหล่งน้ำมาหลายชั่วอายุคน แต่พวกเขามักถูกมองว่าเป็น “ผู้บุกรุก” หรือ “ไม่มีสิทธิในที่ดิน” กฎหมายฉบับนี้ให้การรับรองว่า พวกเขามีสิทธิในการดูแล ใช้ประโยชน์ และอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และที่สำคัญ หากมีโครงการใดของรัฐหรือเอกชนที่จะส่งผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า รับฟังความคิดเห็น และมีการเยียวยาอย่างเป็นธรรม (มาตรา 9)
- พัฒนาชุมชนอย่างที่เขาเลือกเอง กฎหมายนี้ยังให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของตนเอง จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือวิถีชีวิตแบบใด ต้องเป็นไปตามความต้องการและความเหมาะสมกับบริบทของชุมชนนั้น ๆ ไม่ใช่การถูกบังคับจากส่วนกลาง (มาตรา 10)
- รู้เท่าทันและมีสิทธิเสียงในนโยบาย การพัฒนาใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ ต้องไม่ใช่เพียงการ “แจ้งให้ทราบ” แต่ต้องให้พวกเขา มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อย่างแท้จริง กลุ่มชาติพันธุ์ควรเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ชัดเจน และเข้าใจได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่มีผลต่อชีวิตและชุมชนของพวกเขา (มาตรา 11)
- บริการของรัฐ ทุกคนควรเข้าถึงน้ำสะอาด ไฟฟ้า โรงพยาบาล โรงเรียน และสวัสดิการพื้นฐานอย่างเท่าเทียม กลุ่มชาติพันธุ์ก็เช่นกัน กฎหมายนี้รับรองว่ารัฐต้องจัดบริการสาธารณะให้ถึงมือพวกเขา ไม่ใช่ปล่อยให้ตกขอบของระบบ (มาตรา 12)
สิ่งที่ระบุในกฎหมาย: ไม่เห็นผู้หญิง แต่ยังเห็นโอกาส
เมื่อวิเคราะห์ในเชิงเนื้อหา ไม่มีบทบัญญัติใดที่กล่าวถึง “สตรี” หรือใช้ถ้อยคำที่สะท้อนเพศภาวะอย่างชัดเจน ทั้งที่ในบริบทของชนเผ่าพื้นเมือง บทบาทของผู้หญิงในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการดูแลทรัพยากรนั้นมีความสำคัญไม่น้อยกว่าผู้ชาย
ถ้อยคำกลางๆ เช่น “ประชาชน” หรือ “กลุ่มชาติพันธุ์” อาจฟังดูครอบคลุม แต่ในเชิงปฏิบัติกลับเสี่ยงต่อการมองข้ามเสียงของสตรี โดยเฉพาะในสังคมชายเป็นใหญ่ หรือในชุมชนที่ยังไม่มีโครงสร้างความเสมอภาคทางเพศที่ชัดเจน แม้ไม่มีการระบุสตรีโดยเฉพาะ แต่ในทางหลักการ กฎหมายเปิด “ประตู” หลายบานที่ให้สตรีชนเผ่าพื้นเมืองเข้ามามีบทบาทได้ ดังนี้:

หมวด 1 ว่าด้วยบททั่วไป ระบุ 8 สิทธิที่เชื่อมโยงกับสตรี
1.สิทธิในศักดิ์ศรีและความเสมอภาค (มาตรา 5)
สตรีชนเผ่าพื้นเมืองสามารถใช้สิทธินี้ในการเรียกร้องความเท่าเทียม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศหรือชนเผ่าพื้นเมือง โดยเฉพาะในบริบทที่ผู้หญิงอาจเผชิญการเลือกปฏิบัติซ้อนซ้อน (intersectional discrimination) ทั้งจากการเป็นผู้หญิงและการเป็นคนชายขอบ
2.สิทธิในศักดิ์ศรี ชื่อเสียง และการไม่ถูกเกลียดชัง (มาตรา 6)
ผู้หญิงในกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองหรือกลุ่มชาติพันธุ์มักตกเป็นเป้าหมายของความอคติซ้ำซ้อน ทั้งทางเพศและเชื้อชาติ มาตรานี้สามารถใช้เพื่อปกป้องพวกเธอจากคำพูดเหยียดหยาม การตีตราทางวัฒนธรรม หรือการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบที่มักถูกมองว่า “ด้อยพัฒนา” หรือ “ล้าหลัง”
3.สิทธิในอัตลักษณ์และวัฒนธรรม (มาตรา 7)
สตรีชนเผ่าพื้นเมืองคือผู้สืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาในครัวเรือนโดยตรง พวกเธอมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้ดูแลวัฒนธรรม” การได้รับสิทธินี้อย่างเท่าเทียมจะส่งเสริมบทบาทของพวกเธอในการอนุรักษ์และส่งต่อรากเหง้าทางวัฒนธรรมโดยไม่มีแรงกดดันจากภายนอก
4.สิทธิในการศึกษา (มาตรา 8)
การเปิดโอกาสให้เรียนรู้ด้วยภาษาแม่ เป็นการลดอุปสรรคสำคัญที่ผู้หญิงในชนเผ่าพื้นเมืองมักเผชิญ เช่น การเข้าถึงการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมหรือภาษา การศึกษาแบบสองภาษาและเคารพวัฒนธรรมจะช่วยให้ผู้หญิงมีความรู้และอำนาจในการตัดสินใจในชีวิตมากขึ้น
5.สิทธิในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (มาตรา 9)
ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการจัดการที่ดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำเพื่อการยังชีพ หากกฎหมายรับรองสิทธินี้โดยคำนึงถึงบทบาทของสตรี ก็จะช่วยให้พวกเธอมีอำนาจต่อรอง และสามารถปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรของครอบครัวและชุมชน
6.สิทธิในการพัฒนาตนเองและชุมชน (มาตรา 10)
สิทธินี้เปิดทางให้สตรีมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชน โดยสามารถเสนอแนวทางที่สอดคล้องกับบทบาท ความต้องการ และความฝันของผู้หญิงในบริบทของตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแนวทางจากส่วนกลางที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเธอ
7.สิทธิในการรับรู้และมีส่วนร่วม (มาตรา 11)
หากตีความและใช้อย่างเท่าเทียม สิทธินี้ช่วยให้ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมกระบวนการตัดสินใจในเรื่องนโยบาย โครงการ หรือแผนงานใด ๆ ที่ส่งผลต่อชุมชน โดยเฉพาะในประเด็นที่ผู้หญิงมีมุมมองเฉพาะ เช่น การดูแลทรัพยากร การเลี้ยงดูเด็ก หรือสุขภาวะชุมชน
8.สิทธิในการเข้าถึงบริการของรัฐ (มาตรา 12)
ผู้หญิงมักเป็นผู้ดูแลสุขภาพ ครอบครัว และการศึกษาในชุมชน การเข้าถึงสวัสดิการ เช่น โรงพยาบาล การคลอดที่ปลอดภัย หรือเงินช่วยเหลือเด็กและผู้สูงอายุ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของสตรีชนเผ่าโดยตรง
นอกจากนั้น หมวด 2 ว่าด้วยกลไกระดับชาติที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางและนโยบาย กำกับติดตาม เสนอแนะเพื่อแก้ไขกฎหมาย รับเรื่องร้องทุกข์ ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ให้ความเป็นชอบแผนงาน และออกระเบียบหรือประกาศ ซึ่งในมาตรา 13 ระบุให้การสรรหากรรมการระดับชาติที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ (5 คน) กรรมการผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ (9 คน) และกรรมการผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน (3 คน) ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเพศสภาพที่เหมาะสม
ในหมวด 3 ว่าด้วยเรื่อง สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ มาตรา 21 การสรรหาสมาชิกสภา ต้องมีสัดส่วนเพศสภาพ วัย และภูมิภาคก็สามารถเปิดทางให้สตรีมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบาย

ความท้าทายเฉพาะของสตรีชนเผ่าพื้นเมือง
- การเลือกปฏิบัติซ้อน (Intersecting Discrimination) สตรีชนเผ่าต้องเผชิญการเลือกปฏิบัติทั้งในฐานะ “ผู้หญิง” และ “ชนกลุ่มน้อย” เช่น ถูกกันจากกระบวนการตัดสินใจ หรือไม่ได้รับสิทธิในที่ดินเท่าผู้ชาย
- การไม่มีเสียงในกระบวนการนโยบาย แม้กฎหมายจะเปิดโอกาส แต่หากไม่มีการส่งเสริมเชิงโครงสร้าง สตรีก็ยังคงเป็น “ผู้ที่ไม่มีที่นั่ง” ในเวทีที่สำคัญ เช่น การจัดการทรัพยากร การวางแผนชุมชน หรือแม้แต่กระบวนการร่างกฎหมายฉบับนี้เอง
- การขาดโควตาหรือกลไกเฉพาะเพศ หากไม่มีบทบัญญัติที่รับรองบทบาทของสตรีโดยเฉพาะ เช่น โควตา หรือโครงสร้างที่เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิง กฎหมายก็จะถูกใช้โดยกลุ่มที่มีเสียงอยู่แล้วมากกว่า
- กฎหมายอื่นที่ยังทับซ้อน แม้ พ.ร.บ. นี้จะมีเนื้อหาก้าวหน้า แต่กฎหมายอื่นที่ยังมีผลบังคับ เช่น กฎหมายป่าไม้ หรือคำสั่ง คสช. ยังคงเป็นอุปสรรคต่อสิทธิของสตรีในที่ดินหรือทรัพยากร เช่น การถูกไล่รื้อ หรือการไม่ได้รับเอกสารสิทธิ
ข้อเสนอแนะ: ทำให้กฎหมายนี้เป็นของผู้หญิงชนเผ่าด้วย
เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีความครอบคลุมและเป็นธรรมอย่างแท้จริง ควรมี การแก้ไขเสริมหรือออกกฎหมายลูก ที่ระบุบทบาทของสตรีอย่างชัดเจน พร้อมกับมาตรการปฏิบัติจริง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่สำคัญควรเน้นไปที่การสร้างพื้นที่และกลไกที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยควรกำหนด โควตาเพศสภาพ ให้มีสตรีอย่างน้อย 30 % ในคณะกรรมการหรือสภาที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งใช้ระบบสรรหาที่สะท้อนบทบาทของสตรีในชุมชนและเครือข่าย สำหรับ เวทีรับฟังความคิดเห็น ควรมีเวทีเฉพาะสำหรับผู้หญิง พร้อมใช้ภาษาท้องถิ่น วิธีการที่เข้าถึงง่าย และพื้นที่ปลอดภัยและเอื้อให้ผู้หญิงมีส่วนร่วม นอกจากนี้ ควรมีการจัดทำกฎหมายลูก เพื่อคุ้มครองสิทธิสตรีอย่างเฉพาะเจาะจง คณะทำงานด้านเพศภาวะ และเสริมศักยภาพให้แกนนำเข้าใจความแตกต่างทางเพศและชาติพันธุ์ ขณะที่ งบประมาณควรจัดสรรให้แก่โครงการพัฒนาศักยภาพผู้หญิงและกลุ่มสตรี รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนกลุ่มอาชีพหรือองค์กรของผู้หญิง และสุดท้าย การติดตามผล ต้องมีการเก็บข้อมูลที่แยกตามเพศ พร้อมทั้งมีช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัยและเฉพาะสำหรับผู้หญิง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิทธิและเสียงของสตรีชนเผ่าจะได้รับการเคารพและขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม.
นิตยา เอียการนา :เขียนและเรียบเรียง